เทศน์เช้า

วินัย

๒๘ เม.ย. ๒๕๔๔

 

วินัย
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๔๔
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ผู้หญิง เห็นไหม บวชเป็นแม่ชีเขาก็ปฏิบัติธรรม จนตายแล้วเผาแล้วกระดูกเป็นพระธาตุ ถ้าเรื่องธรรมนี่นะไม่ปิดโอกาสใครเลย การเสมอภาคนี่เป็นไปได้หมดนะถ้าเรื่องธรรม มันจะไปปิดกั้นตรงไหน?

แล้วถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติ เราบวชเป็นอะไรก็ได้ บวชที่ว่ามันประพฤติปฏิบัติได้ใช่ไหม เพื่อเราจะพยายามแสวงหาให้ได้ไง ถ้าเป็นธรรมนะมันไม่ปิดกั้น ความเสมอภาค สิทธิมนุษยชนอะไรก็แล้วแต่ มันเป็นไปได้ถ้ามันเป็นอย่างนั้น

แต่นี้พอมาเรื่องของศาสนา เรื่องของศาสนามันเรื่องของวินัย ธรรมไม่ปิดกั้น ธรรมนี่กว้างขวางมาก ไม่บวชเป็นคฤหัสถ์ก็ปฏิบัติได้ บวชก็ปฏิบัติได้ มันปฏิบัติได้หมด แล้วทำได้หมด ถ้ามีหัวใจแล้วมันถึงได้หมดเลย แต่ถ้าพอจะมาพูดถึงวินัย กฎหมาย เห็นไหม ข้อกฎหมาย ถ้าพูดถึงข้อกฎหมาย มันต้องว่ากันแล้ว ตามกฎหมายนี่นะ แล้วจะให้ยอมรับกัน มันยอมรับได้อย่างไร?

เพราะมันมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล เห็นไหม พระพุทธเจ้าก็พยากรณ์ไว้แล้วว่า “๕๐๐ ปีภิกษุณีจะหมดไป” แล้วภิกษุณีพอมานี่มันหมดไป เพราะว่าอย่างศาสนาพุทธเข้ามาในเมืองไทยเรานี่พันกว่าปี พันกว่าปีเท่านั้นภิกษุณีก็ไม่มีแล้ว

แล้วอย่างถ้าว่าไม่มีแล้ว มันก็เหมือนกับไม่มีต้นแบบ ไม่มีพ่อแม่ ลูกเกิดมาจากไหน? ไอ้ที่ไปหาอุปัชฌาย์ ต้องมีอุปัชฌาย์ถึงจะบวชภิกษุได้ ตั้งแต่พระพุทธเจ้าปรินิพพานมาจนปัจจุบันนี้ พระสงฆ์เราไม่ขาดเลยนะ บวชสืบต่อกันมาๆ

นี้พูดถึงวินัยนะ ถ้าพูดถึงวินัย พูดถึงความเป็นจริง พูดถึงโดยหลัก แต่ไอ้ความผิดพลาดมันก็มี บวชผิดบวชอะไรมันก็มีเหมือนกันใช่ไหม? แต่อนุโลมว่าถ้ามันทำถูกต้องกันมา มันก็ยอมรับกันมา แล้วพอมาเป็นพันๆ ปี มันสูญไปไง พอมันสูญไปมันก็ไม่มี พอไม่มีจะสืบต่อได้อย่างไร? พอสืบต่อ มันไปออกมาจากไหน?

พอมันออกมาจากไหน นี่เถียงกันๆ ตรงนี้ เถียงว่าภิกษุณีมีหรือไม่มี... มีหรือไม่มีนี้มันเป็นกรอบ เป็นรูปแบบไง ไปเถียงกันรูปแบบ เถียงกันที่ระบบ ถ้าเถียงที่ระบบ ถ้ามันพูดกันโดยหลักแล้วมันก็ต้องพูดโดยพระธรรมวินัย ถ้าวินัยก็ต้องบอกว่ามันไม่มีอยู่แล้ว

ถ้ามีโดยบวชนะ ถ้าพูดถึงจะบวชโดยธรรมวินัย เห็นไหม ต้องเป็นสิกขมานามาก่อน แล้วบวชโดยภิกษุณีสงฆ์ก่อน ภิกษุณีสงฆ์บวชแล้วค่อยมาบวชภิกษุสงฆ์ เห็นไหม เวลาบวชมันก็ยังต้องบวชสงฆ์ ๒ ฝ่าย แล้วบวชสงฆ์ ๒ ฝ่ายไหม? นี่มันไม่มี พอมันไม่มี บอกไต้หวันมี ทางนั้นมี มีของเขามานะอาจริยวาท เห็นไหม อาจริยวาทนี่พูดถึงว่ามันก็เป็นนานาสังวาสอยู่แล้ว

แล้วของเขามันไม่ถือเรื่องธรรมวินัยไง ถึงว่าถือความเห็นของอาจารย์เป็นใหญ่ อาจริยวาทนี่ถือว่าอาจารย์เป็นใหญ่ ใครมีความเห็นอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ใครมีความเห็นอย่างไรที่ว่าฉันนี่เป็นอุปัชฌาย์ ฉันจะบวชภิกษุณี ฉันก็บวชของฉันไปอย่างนั้นนะ ผิดถูกตามวินัยไม่รู้ แต่ความเห็นของฉันเป็นใหญ่ แล้วพอความเห็นฉันเป็นใหญ่ เขาไปบวชกันมา พอบวชอย่างนั้นมาแล้วจะมาเข้ากับหมู่สงฆ์ มันจะเข้ากันได้อย่างไร?

นี่พูดโดยหลักนะ พูดโดยกรอบ ไอ้นี่มันติดโดยหลักแล้วมันเป็นอย่างนี้ มันต้องยึดตรงนี้ก่อน จะบอกว่าภิกษุนี่เห็นแก่ตัว ภิกษุนี่ไม่ยอมรับ พอบวชมานี่ปิดกั้น...

มันไม่ใช่ปิดกั้น...ถ้าปิดกั้นทำไมแม่ชีแก้วเป็นพระอรหันต์ แม่ชีก็ปฏิบัติได้นี่นา ผู้หญิงผู้ชายไม่สำคัญนะ ปฏิบัติได้หมด มันเป็นไปได้หมด แต่ถ้าเราไม่ติดตรงนี้ เราก็ปฏิบัติของเราไป ทำไมต้องเป็นภิกษุณีด้วยล่ะ? บวชเป็นภิกษุณีปั๊บเป็นพระอรหันต์หรือเปล่า? บวชเป็นภิกษุณีแล้วก็เหมือนกับพระ พระบวชแล้วเป็นพระอรหันต์หรือเปล่า? ก็ไม่ใช่...

สมมุติสงฆ์ เป็นสมมุติทั้งหมด สมมุติขึ้นมาแล้ว บวชขึ้นมาแล้วค่อยมาประพฤติปฏิบัติ ถ้าประพฤติปฏิบัติ ธรรมมันเข้าไปถึงหัวใจแล้วมันถึงจะเป็นธรรมขึ้นมา แล้วนี่มันยังไม่ปฏิบัติเลย ก็จะไปเอาตรงนี้มาบอกว่าปิดกั้นๆ

มันไม่ได้ปิดกั้นนะ ไม่ได้ปิดกั้นหรอก เพียงแต่ธรรมวินัยเป็นอย่างนี้ วินัยต้องบอกว่ามันขาดสูญไปแล้ว มันไม่มี พอขาดสูญไปแล้วไม่มี แล้วรู้ได้อย่างไร?

ก็รู้ด้วยการบวชสืบต่อกันมา ประวัติศาสตร์มันสืบได้ทั้งนั้นนะ ประวัติศาสตร์มันย้อนไปสิ ตั้งแต่เมืองจีนมาอย่างนี้ เมืองจีนไต้หวันนี่มาจากไหน? ก่อนที่จะเกิดเป็นประเทศไต้หวันนะเป็นเกาะ เป็นชาวป่าพื้นเมือง เขาไม่มีเลย เขาเอาภิกษุณีมาจากไหน? แล้วภิกษุณีโผล่มาจากไหน? แล้วภิกษุณีโผล่มาก็บวชขึ้นมาแล้ว บวชมาแล้วก็จะให้ยอมรับ มันเป็นไปได้อย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้

อันนี้ว่าเพียงแต่คิดกันเอง เออกันเอง อาจริยวาท คิดว่าผู้หญิงควรจะบวชได้ พอควรบวชแล้วก็ไปฟื้นธรรมวินัยกัน นี่กล่าวตู่พุทธพจน์นะ พุทธพจน์พระพุทธเจ้าบอกไว้ “แค่ ๕๐๐ ปี ตั้งแต่สมัยพุทธกาลมา ๕๐๐ ปี ภิกษุณีจะหมดไป”

แล้วนี่ก็เหมือนกันว่า ๕,๐๐๐ ปี พระพุทธศาสนาจะหมดไป แล้วต่อไปจะมีศาสนาพุทธของพระศรีอาริยเมตไตรยต่อไปข้างหน้า นี่พยากรณ์เอาไว้ แล้วพระพุทธเจ้าพูดหนึ่งแล้วไม่มีสอง แล้วพูดถึงว่า ๕๐๐ ปี แล้วคิดดูสิว่าเมืองไทยนี่เกิดมากี่ปี? เมืองไทยนี่ ๗๐๐ ปี ตั้งแต่สมัยสุโขทัยมา ๗๐๐ ปีเอง แล้ว ๗๐๐ ปีแล้วพูดถึงนี่พันกว่าปีแล้วมันมาจากไหน?

นี่พูดถึงว่าถ้าว่ามันขาดสูญ จะอ้างไงว่าภิกษุณีขาดไปแล้ว มันขาดสูญ มันหมดไปแล้ว แม่พิมพ์มันหมดไปแล้ว จะบวชใหม่ขึ้นมานี่มันไม่สืบต่อ นี่พระเขาติดกันตรงนี้ เขาติดกันตรงรูปแบบ แล้วยังติดว่าบวชแล้วภาวนาได้ไหม? มันผิดตรงไหน? ที่ว่าบวชแล้วมันจะทำให้เสียหายตรงไหน?

ไม่เสียหายหรอก... ใครสิทธิความเชื่อถือทำไปเลย อยากจะบวชอย่างไรก็บวชไปเลย บวชแล้วตัวเองก็ทำไปปฏิบัติไป

นี้ส่วนใหญ่แล้วไม่เป็นอย่างนั้น อย่างที่ว่า...เพราะแบน...เห็นไหม จะออกมาว่ามีอยู่อย่างนั้น แล้วมันจะสับสนไง แต่พูดถึงว่าถ้าบวชมาแล้วปฏิบัติไป กิเลสเป็นกิเลส พูดถึงบวชแล้วเพื่อชำระกิเลส ถ้าบวชแล้วตัวเองเห็นว่าตัวเองจะแบกสังคม จะแบกโลก มันจะเป็นการชำระกิเลสหรือจะเพิ่มกิเลส? บวชแล้วเพิ่มกิเลสไหม? ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องให้เขายอมรับอย่างนี้ มันเพิ่มกิเลสหรือละกิเลส?

บวชมาเพื่อชำระกิเลสใช่ไหม? บวชมาเพื่อจะให้เราเข้าใจเรื่องของกิเลส ไม่ใช่เข้าใจเรื่องตรงนั้น ไอ้นั่นเป็นสุตมยปัญญา สุตมยปัญญาการเรียนมานะ เรียนมาๆ การเรียนมา การจำมา มันจำทันกันหมดล่ะ แล้วจะทำอย่างไร ความเห็นเป็นเห็นอย่างไร?

ความเห็นของตัวนะ ดูอย่างพระบวชใหม่สิ ใหม่ๆ นี่จะเข้มแข็งมากเลย แต่ทำไมเวลามันเก่าไปๆ ทำไมมันเจือจางไปๆ?

อารมณ์นี่มันจับต้องไม่ได้ เรื่องของอารมณ์ เรื่องของความรู้สึกนี่มันคลาดเคลื่อนได้ เวลาอารมณ์รุนแรง ความเชื่อมั่นรุนแรง มันจะเห็นความถูกต้อง เวลามันเสื่อมคลายไปมันก็ไปอีกอย่างหนึ่งแล้ว แล้วจะเอาตรงนี้ นี่ตามกระแส ฟูกันมาอย่างนี้ เวลาเห็นตามกันไปๆ แล้วต่อไปข้างหน้าจะเป็นอย่างไร?

ถ้าจับหลักแล้วไม่เสียนะ วินัยเป็นวินัย วินัยไม่มี พระพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้หนึ่ง แล้ววินัยก็ถึงว่ามันก็ขาดสูญไปแล้วหนึ่ง

นี่ไม่ว่ากัน ถ้าตัวบุคคล ความเชื่อของตัวบุคคลยกไว้ เราไม่พูดถึงเรื่องตัวบุคคลนะ เรื่องตัวบุคคล...ความเชื่อของเขา เขาบวชแล้วให้บวชไป แต่ถ้าบอกว่าให้ถูกต้องตามธรรมวินัย...ไม่ถูก เพราะมันหมดไปแล้วหนึ่ง การบวชก็บวชไม่ถูกต้องหนึ่ง

แล้วอย่างพูดถึงเขาบวชแล้วเขาก็ไม่เชื่อใจตัวเขาเองนะ เพราะเขาบอกเขายังไม่เป็นภิกษุณี เขาเป็นสิกขมานา เห็นไหม มันต้องกลับไปบวชซ้ำอีกทีหนึ่ง ถึงว่าบวชเขายังไม่สมบูรณ์เลย ต้องไปบวชไป อย่างนี้พูดถึงเป็นทางธุรกิจนะ เห็นไหม เป็นทางธุรกิจ เป็นการเรื่องหาเงินเข้าประเทศ แล้วต่อไปใครอยากบวชภิกษุณีต้องไปบวชลังกาหมดเลย เมืองไทยยังบวชไม่ได้ ต้องย้ายกลับมาเหรอ? นี่ความสูญเสียทางธุรกิจมันก็ต้องมีเกิดขึ้น

แต่ถ้าการเผยแผ่ของธรรมไม่อย่างนั้นนะ สมัยก่อนนะลังกาไม่มีพระ อังกฤษเข้าไปปกครองจนพระไม่มี ที่ลังกาถึงจะมีสยามวงศ์ไง สมัยอยุธยาส่งพระ ๕ องค์ไปบวช ไปบวชขึ้นมาพระไปครบสงฆ์ ๕ องค์ขึ้นไป เป็นสงฆ์ขึ้นมาแล้ว พอเป็นสงฆ์ขึ้นมานี่เป็นต้นแบบแล้วบวชมา จะมีสยามวงศ์อยู่ที่ลังกานะ มีสยามวงศ์ แล้วบวชขึ้นมาก็ถือเหมือนกัน

ฉะนั้นเวลามานี่ ถึงเวลาเราอยู่กับอาจารย์มหาบัว เวลาพระจากลังกามา เวลาต้อนรับ ให้รับเป็น...เพราะว่าสมัยนั้นสมัยอยุธยา ธรรมยุตเราเกิดแค่สมัย ร.๔ ฉะนั้นตอนนั้นเขาต้องเป็นมหานิกาย สยามวงศ์นี่เป็นมหานิกายไม่ใช่ธรรมยุต เวลามาแล้ว นี่พูดถึงตามธรรมวินัยนะ เราก็ต้องจัดแยกให้เขาฉันต่างหาก เรารับมาแล้ว รับมากับมือเลย เวลาธรรมทูตมาจากลังกานี่มามากเลย มาทีหนึ่ง ๕ องค์ ๑๐ องค์นี่ มานี่เราจะต้องรับ

เพราะมาแล้วก็อยากศึกษาไง พอถึงวัดบวรฯ เขาก็ถกกันเรื่องธรรมวินัย ถกเรื่องปริยัติ เสร็จแล้วจะให้ดูต้นแบบในการปฏิบัติ เขาก็ส่งไปที่บ้านตาด บ้านตาดก็รับ เราก็รับ เรานี่อยู่ในเหตุการณ์เลย เราก็รับ เราก็ต้อนรับเขา

นี่มันก็ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรเพราะอะไร? เพราะว่ามันมีอยู่ในพระไตรปิฎก เห็นไหม นานาสังวาสนี่เป็นนานาสังวาส ถ้าบอกว่าภิกษุณีนี่เป็นการผุดขึ้นมาจากไหน แล้วธรรมยุตล่ะ? ธรรมยุตผุดขึ้นมาจากไหน? ธรรมยุตก็บวชจากมหานิกายนั่นล่ะ เพราะ ร. ๔ นี่บวชที่ไหน?

ก็บวชจากมหานิกายมาใช่ไหม? บวชจากมหานิกายแล้วมันก็ปั้มมา เห็นไหม แล้วบวชแล้วบวชซ้ำ บวชซ้ำบวชหลายครั้ง ไปบวชที่หน้าธรรมศาสตร์นะ กั้น...ทำเพราะคิดว่าสมัยนั้นพระประพฤติปฏิบัติตัวไม่ค่อยดีกัน ก็ว่าตัวเองจะทำอย่างไร กลัวว่าปฏิบัติแล้วจะไม่ได้ผล เพราะการบวชนี้ไม่บริสุทธิ์ไง ก็ผูกแพขึ้นมาบวชกลางน้ำ ธรรมยุตใหม่ๆ เขาเรียกพระน้ำ พระน้ำกับพระบก มหานิกายนี่บวชบนบก บวชในโบสถ์นะอยู่บนบก แล้วธรรมยุตเราต้นแบบนี่บวชในน้ำ เขาเลยว่าที่ว่าเมื่อก่อนชาวบ้านเขาเรียกพระน้ำ-พระบก แล้วก็ตั้งขึ้นมาเรื่อย

อันนี้มันก็บวชมาถูกต้อง ฉะนั้นว่าธรรมยุตนี่โผล่มาจากไหน? มันก็บวชมาจากมหานิกาย แล้วก็บวชซ้ำขึ้นมาเพราะว่าอะไร? เพราะรามัญ พวกมอญนี่เข้ามาบวช แล้วกรุงเทพฯ มันมีนี่ มีพระของรามัญมีอะไรนี่ เขามาแล้วเขาปฏิบัติเคร่งครัดไง แล้ว ร. ๔ ไปศึกษากับเขา แล้วให้เขาเป็นอุปัชฌาย์บวชซ้ำเข้าไปอีกทีหนึ่ง แล้วก็แยกออกมา มันก็ถือเคร่งขึ้นมาๆ เป็นธรรมยุต

ธรรมยุต มหานิกาย เกิดจากตรงนี้ มันมีที่มาที่ไป คือว่ามันมีพ่อมีแม่ไง มันคลอดลูกออกมาได้ไง ลูกออกมาก็เป็นลูกก็เป็นสมควรกันไง พอสมควรมันก็เป็นมาในพระไตรปิฎกมันก็เป็นนานาสังวาสไง นี้นานาสังวาสในพระไตรปิฎกก็มีนี่ ทำอย่างไรกัน ทำอย่างไร?

แต่ภิกษุณีมันไม่เป็นอย่างนั้น ภิกษุณีถ้ามีอยู่นะ ภิกษุณีจะจำพรรษาโดยตัวเองไม่ได้ ภิกษุณีจะจำพรรษาที่ไหนต้องมีพระภิกษุสงฆ์อยู่ด้วย เพราะเมื่อก่อนสมัยพุทธกาลนะ ภิกษุณีโดนรังแก โดนพวกมิจฉาทิฏฐิเขารังแก เขาปล้ำเขาอะไรนี่

ทีนี้อยู่ด้วยตัวเองไม่ได้ ตามวินัยเลยบอกว่าภิกษุณีจะจำพรรษาโดยตัวเองไม่ได้ ภิกษุณีจะต้องจำพรรษาที่มีพระภิกษุสงฆ์อยู่ แล้วพระภิกษุสงฆ์นี่ต้องไปเทศน์สอนภิกษุณีตลอดเวลา ฉะนั้นถึงจัดเวรพระภิกษุสงฆ์เข้าไปเทศน์ภิกษุณี สมัยนั้นนะ

แล้วพอมาๆ ตรงนี้มันไม่มีไป มันหมดไปจริงๆ แล้วเราจะเอาขึ้นมาได้อย่างไร? ตามธรรมตามวินัยมันก็ไม่มี พูดถึงตามวินัยเฉยๆ นะ ตามวินัยหมายถึงว่าข้อกฎหมาย ข้อกฎหมายเป็นอย่างนี้เราถือข้อกฎหมาย

แต่ถ้าตามธรรมแล้ว เออ...ไม่ปิดกั้น ถ้าเขาจะบวชเขาจะศึกษานั่นเรื่องส่วนตัวของเขา เราไม่ว่ากัน ปล่อยให้เขาทำไป แล้วถ้าเขาไปศึกษาแล้ว เขาปฏิบัติธรรมได้ธรรมขึ้นมาก็สาธุด้วยนะ แต่ถ้ามันไม่ได้ธรรมขึ้นมา มันก็ทำอย่างนี้ มันก็เป็นไปเรื่อยๆ มันมีเรื่อยๆ รัฐธรรมนูญใหม่ไง

เราถึงบอกเดี๋ยวนี้เมื่อก่อนนะ จากเมืองจีน ดูอย่างถังซัมจั๋งจะไปอินเดีย ใช้เวลาเป็นปีๆ เห็นไหม การสื่อสารมันช้า เดี๋ยวนี้เครื่องบิน การสื่อสารมันเร็ว ฉะนั้นบอกว่าพอไต้หวัน อย่างไต้หวัน อย่างเมืองจีน อย่างลังกาจะมาเมืองไทย ข่าวสารมันจะเร็วมาก พอข่าวสารมันเร็ว มันจะทำให้แบบว่ากระแสมันปลุกได้ไวไง แล้วความเชื่อของนี่ สัตว์โลกมันจะตื่นไปตามกระแสนั้น

ถ้าเราเชื่อของเราอย่างนี้ เราจับธรรมวินัยไว้ ใครจะปลุกกระแสปลุกไป มันมาเป็นอาจริยวาท เชื่อตามๆ กันมา พระพุทธเจ้าบอกไว้ “กาลามสูตร” ไม่ให้เชื่อแม้แต่พระพุทธเจ้าบอก ให้ฟังแล้วไปใคร่ครวญว่าจริงหรือไม่จริง แล้วพยายามประพฤติปฏิบัติให้มันเห็นตามนั้น ในกาลามสูตรถึงบอกไม่ให้อย่างนั้น

แล้วนี่อาจริยวาท อาจารย์คิดอย่างไรก็ทำไป มี...ในเมืองไทยก็มีนะ บวชเป็นแม่ชีนี่แหละ แต่ในใบสุทธิเขียนว่าภิกษุณีไง เขียนว่าเป็นภิกษุณีเลย เพราะว่าถือภิกษุณี นี่มันความเห็นเขาต่างไปแล้ว

มาให้เราดู เราบอก “ไม่มีหรอก ภิกษุณีไม่มีหรอก” แต่ในเมื่อเขาเขียนก็เขียนขึ้นมาเพื่อจะว่า...พูดประสาเราเอาไว้ขี่กัน เอาไว้ข่มขี่กันไง เอ็งบวชเป็นชีเฉยๆ ข้าก็บวชชีเหมือนกันแต่ข้าเป็นภิกษุณี เห็นไหม ข้ามีเกรดมากกว่า นี่มันเพิ่มกิเลส บวชเอาลดกิเลสหรือเพิ่มกิเลสล่ะ

นี่เพราะอาจารย์เป็นคนทำ อาจารย์เป็นคนบวชให้ นี่ก็พระทำอย่างนี้ก็มี พระเมืองไทยนี่อิสรเสรี แต่ตามความเห็นเรามันก็อยู่ในวงแคบๆ มันออกมาไม่ได้หรอก เพราะอะไร? เพราะมันเป็นการลักทำ ลักทำ ซ่อนเร้นทำไง ไม่กล้าออกมา ถ้าออกมาปั๊บ เดี๋ยวสมาคมเขาต้องตรวจสอบ พอตรวจสอบขึ้นไปมันก็เปิดตามพระไตรปิฎก อ้าว...ฉันก็ผิด แล้วผิดทำไมถึงทำ? ก็ไม่รู้ ก็อยากทำ ก็ว่ากันไปตามนั้น

พอเปิดพระไตรปิฎกมามันก็ผิดนะ เพราะพระไตรปิฎกนี่ ประยุทธ์ ปยุตฺโต เขาก็อยู่ เห็นไหม นักปราชญ์เมืองไทยยังมีอยู่ พูดถึงนะ เวลาพูดถึงพระไตรปิฎก เขาจะค้นคว้าเลย แล้วโต้กันตามพระไตรปิฎก นี่คือโดยหลัก ถ้าโดยหลักแล้วอย่างที่ว่านะ...ไม่มี ปล่อยเขาไปเลย เราอย่าไปตื่นไปกับเขา

แต่ถ้าเขาทำคุณงามความดีก็เป็นคุณงามความดี ถ้าเขาทำดีก็คือทำดี ถ้าเขาทำไม่ดีก็คือไม่ดีเท่านั้นเอง แต่ไอ้อย่างที่ว่าเปลือกนี้อย่าไปถือมัน เปลือกมันคือเปลือก ปล่อยมันไปไม่เกี่ยวกัน เอวัง